สถิติการเยี่ยมชมบล็อกของฉัน

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

สวนผึ้ง

สวนผึ้ง

        
       สวนผึ้งเป็นอำเภอสุดเขตแดนราชบุรีติดสันเขาตะนาวศรี สุดแดนแผ่นดินไทยทางด้านตะวันตกอีกด้วยเดิมทีนั้นสวนผึ้งขึ้นกับอำเภอจอมบึง ในปี พ.ศ. 2525 ได้แยกตัวและยกฐานะขึ้นมาเป็นอำเภอสวนผึ้ง 
       สภาพ ภูมิประเทศของสวนผึ้งนั้นขนาบด้วยเทือกเขาตะนาวศรีเป็นพรมแดนตะวันตกมีทั้ง ป่าเขา น้ำตก ธารน้ำภาชี แม้จะตื้นน้ำไหลเชี่ยวแต่ก็เป็นลำธารที่ยาวไกล หล่อเลี้ยงชีวิตคน ต้นไม้ และสัตว์ในที่แห่งนี้ในแนวป่าลึกชนชายแดนระหว่างไทยกับพม่านั้นมีต้นไม้ใหญ่ โตมากขนาดสี่คนโอบต้นไม้นี้บรรดาหมู่ผึ้งและมิ้มมาทำรวงรังขนาดใหญ่มากรัง หนึ่ง ๆ กว้างเป็นเมตร ต้นหนึ่ง ๆ มีถึงกว่า 200 รังทีเดียวชาวบ้านกะเหรี่ยงจะอาศัยการตีรังผึ้งซึ่งถือเป็นน้ำหวานของป่าที่ หวานหอมบริสุทธิ์จากดอกไม้ป่ามายังชีพต้นไม้แห่งรังผึ้งนี้ชาวบ้านกะเหรี่ยง เรียกว่า "ไหมซ่าเลียง" ชาวบ้านไทยเรียกว่า "ต้นชวนผึ้งหรือยวนผึ้ง" นี่เป็นที่มาของชื่อ อำเภอสวนผึ้งปัจจุบันยังมีน้ำผึ้งหวานหอมบริสุทธิ์แท้จากป่าวางขายกันอยู่ แม้จะน้อยลงไปอย่างมากแล้วก็ตามและมาจากแนวป่าเขตพม่าเสียส่วนใหญ่สวนผึ้ง เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนเมืองกรุงอีกครั้งในยุคเศรษฐกิจเบ่งบานเป็นฟอง สบู่อีกครั้งหนึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2530 - 2538 ก็เพราะความงามตามธรรมชาติแวดล้อมไปด้วยป่าเขาทำให้ผู้คนนิยมมาท่องเที่ยวใน ดินแดนแห่งนี้เกิดการจัดสรรที่ดินมีบ้านพักแบบรีสอร์ทขึ้นมากมายมีร้านอาหาร การกินขึ้นเป็นดอกเห็ดเรียงรายตามสองข้างถนนนับจากเขตจอมบึงไล่เรื่อยมาจน สุดแดนอำเภอสวนผึ้ง
ลักษณะ ภูมิประเทศ เต็มไปด้วยป่าเขาเนินดิน พื้นดินเป็นที่ชันเสียส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่ามากนัก นอกจากมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์แล้วยังพบแร่ดีบุกตามสันเขาอีกหลายแห่ง จึงมีการขุดร่อนแร่ขึ้นตั้งแต่ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เริ่มเปิดการค้าเสรี มีการสัมปทานทำเหมืองแร่อย่างเป็นล่ำเป็นสันสวนผึ้งเมื่อก่อนเป็นเมืองกัน ดานขาดการติดต่อสันจร เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีการให้สัมปทานบัตรขุดแร่ดีบุกเหมืองก็ถูกพัฒนามี การตัดถนนเข้าเหมืองระยะทางหลายสิบกิโลเมตรเพื่อลำเลียงเครื่องจักรไอน้ำ เครื่องยนต์ดีเซล เครื่องกลหนักมาใช้ทำเหมือง ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเป็นประชากรของเหมืองแต่ละแห่งมากมายนับร้อย ๆ คนทำให้เกิดชุมชน เกิดตลาด มีไฟฟ้าน้ำบาดาลให้ใช้ มีวัด โรงเรียน สถานีอนามัย ร้านค้า มีแม้กระทั่งบาร์และบ่อน ในยามนั้นสวนผึ้งจึงคึกคักและเริ่มมีการคมนาคมติดต่อกับผู้คนภายนอกต่อมาแร่ ดีบุกตก เหมืองเสื่อม ผู้คนอพยพไปอยู่ที่อื่น สวนผึ้งก็เงียบเหงาลง แต่ยังคงมีการค้าขายที่ชายแดนจนกระทั่งด่านปิดตัวลง การค้าขายจึงซบเซาลงอย่างมาก

         อำเภอสวนผึ้งเดิมเป็นตำบลสวนผึ้งขึ้นอยู่กับอำเภอจอมบึง  จังหวัดราชบุรี  ได้อนุมัติให้ตั้งกิ่งอำเภอสวนผึ้งขึ้นเมื่อวันที่  21 ตุลาคม  2517  เปิดทำการบริการ ประชาชน  เมื่อวันที่ 15  พฤศิกายน  2517
อำเภอสวนผึ้ง เดิม เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอจอมบึง เรียกว่า "ตำบลสวนผึ้ง"  เป็นตำบลที่มีพื้นที่ กว้างขวาง ทุรกันดาร เต็มไปด้วยภูเขา ป่าไม้ การคมนาคม ไม่สะดวก   ประชาชน ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง การปกครองดูแลเป็นไปด้วยความยาก ลำบาก รัฐบาลจึงได้จัดส่งหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ที่ 70 กรป.กลาง บก.ทหาร สูงสุด ประกอบด้วยทหาร 3 เหล่าทัพ และข้าราชการ พลเรือน  ซึ่งเป็นผู้แทน ของกระทรวง  ทบวง กรม ต่างๆ  พร้อมที่จะดำเนินการพัฒนาท้องถิ่น ทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ การคมนาคม และการเมือง ตั้งแต่เมื่อวัน ที่ 20 มีนาคม 2511-2514 ต่อมากระทรวงมหาดไทย  ได้ประกาศแบ่งพื้นที่อำเภอ จอมบึง   โดยตั้งเป็นกิ่งอำเภอ เรียกว่า กิ่งอำเภอสวนผึ้ง เมื่อวัน ที่ 15 พฤศจิกายน 2517  และต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอสวนผึ้ง เมื่อ วันที่ 1 เมษายน 2526

         ที่มาของคำว่า  "สวนผึ้ง"    เนื่องจากพื้นที่โดยทั่วไปของอำเภอมีสภาพแวด ล้อมประกอบด้วย ธรรมชาติ ป่าไม้ เทือกเขา  และมีต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ชาวบ้าน เรียกว่า  “ต้นผึ้ง"   ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีสีขาวนวลไม่มีเปลือกกะเทาะหรือ ลอกให้เห็น   และที่สำคัญคือจะมีผึ้งจำนวนนับแสนนับล้านตัวมาอาศัยทำรังบน ต้นผึ้งเท่านั้น

        มีเขตการปกครอง  5  ตำบล  คือ  ตำบลสวนผึ้ง  ตำบลป่าหวาย  ตำบลบ้านบึง  ตำบลท่าเคย และตำบลบ้านคา  สภาพท้องถิ่นทุรกันดาร  ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่าไม้  มีภูเขาสลับซับซ้อนอยู่ทั่วไป  ระยะทางจากอำเภอจอมบึง  30 ก.ม.  ห่างจากตัวจังหวัดราชบุรี  60  กิโลเมตร  และได้ประกาศตั้งเป็นอำเภอเมื่อวันที่  1  เมษายน  2525  

 

อาณาเขต    อำเภอสวนผึ้ง  ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลสวนผึ้ง  ริมฝั่งซ้ายของลำน้ำภาชีอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของอำเภอจอมบึงและจังหวัดราชบุรี
ทิศเหนือ           ติดต่ออำเภอเมืองกาญจนบุรี
ทิศใต้               ติดต่อกับอำเภอเขาย้อย  จังหวัดเพชรบุรี
ทิศตะวันออก     ติดต่อกับอำเภอจอมบึง  จังหวัดราชบุรี
ทิศตะวันตก       ติดต่อกับสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า

 

ลักษณะภูมิประเทศ 

     อำเภอ สวนผึ้ง  มีสภาพเป็นที่ป่าและภูเขา  มีที่ราบตามไหล่เขาและที่ราบตอนกลางของพื้นที่ใช้สำหรับการเพาะปลูกและ เลี้ยงสัตว์บ้างเล็กน้อย

พื้นที่ 
    มีเนื้อที่ประมาณ  2,145 ตารางกิโลเมตร

คำขวัญอำเภอสวนผึ้ง
     สาวกระเหรี่ยงเคียงถิ่นตะนาวศรี  ลำภาชีแก่งส้มแมวแนวหินผา  ธารน้ำร้อนบ่อคลึงตรึงติดตา  น้ำผึ้งป่าหวานซึ่งติดตรึงใจ

ทะเลน้อย

    ทะเลน้อย

 

     ทะเลน้อย เป็นทะเลสาบน้ำจืด อยู่ในอำเภอควนขนุนจังหวัด   พัทลุง  ทางตอนเหนือของทะเลสาบสงขลาโดยมีคลองนางเรียมเชื่อมระหว่างทะเลน้อยและทะเลสาบสงขลาทะเลน้อยเป็นบริเวณที่มีน้ำขังตลอดปี พืชส่วนใหญ่เป็นพืชน้ำที่โดดเด่นและสร้างสีสันให้กับทะเลน้อยได้แก่ สาหร่ายหางกระรอกสาหร่ายข้างเหนียว ที่มีดอกเล็กๆสีเหลือง สีม่วงสวยงาม บัวหลวง บัวสายบัวเเผื่อน เป็นต้นความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพในวงจรธรรมชาติของทะเลน้อยเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของนกน้ำนานาชนิดทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพใช้เป็นที่อาศัยช่วยเติมแต่งทะเลน้อยที่สวยงามจากมวลไม้น้ำได้มีความสมบูรณ์มีชีวิตชีวาตามครรลองของธรรมชาติ
     สภาพพื้นที่ของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อยทั้ง หมด 450 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยส่วนที่เป็นพื้นดินและพื้นน้ำ ส่วนพื้นดินมีเนื้อที่ 422 ตารางกิโลเมตร หรือ ร้อยละ 94 ของพื้นที่ทั้งหมด ลักษณภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบชายทะเลสาบ ประกอบด้วยนาข้าวและป่าหญ้า ป่าพรุและป่าเสม็ด เป็นแอ่งน้ำมีพืชปกคลุม และที่ราบเชิงเทือกเขาบรรทัด มีเนินเขาสูงราว 100 เมตร จากระดับน้ำทะเล ส่วนพื้นน้ำมีเนื้อที่ 28 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 6 ของพื้นที่ทั้งหมด คือ ตัวทะเลน้อยนั่น เอง มีความกว้างราว 5 กิโลเมตร และยาว 6 กิโลเมตร ความลึกโดยเฉลี่ยราว 1.5 เมตร ปกคลุมด้วยพืชน้ำต่างๆ เช่น บัว กระจูด หญ้าน้ำกก ปรือ และ กง กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณน้ำตื้นและค่อนข้างนิ่ง

เกาะมุก-ถ้ำมรกต จังหวัดตรัง

    

เกาะมุก-ถ้ำมรกต จังหวัดตรัง

 

 

 

  
      เกาะมุก อาจไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ถ้าเอ่ยถึงถ้ำมรกต ทุกคนจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ถ้ำมรกตเป็นเป้าหมายของนักเดินทางที่มายังท้องทะเล ตรัง เป็นถ้ำทะเลที่ มีความงดงามตระการตาอย่างมาก จากปากทางเข้าถ้ำซึ่งเป็นโพรงเล็กๆ ช่วงเวลาน้ำลดโพรงนี้จะสูงพ้นระดับน้ำพอเรือลอดได้ แต่หากช่วงน้ำมากอาจจะต้องว่ายน้ำเข้าไป บริเวณปากทางเข้าถ้ำแสงจากภายนอกจะสะท้อนกับน้ำทะเลในถ้ำ ทำให้เห็นเป็นสีเขียวมรกต สวยงาม แปลกตา ประหนึ่งจิตรกรรมแห่งธรรมชาติที่ได้บรรจงสร้างให้มวลมนุษย์ได้ชื่นชม เมื่อถึงอีกด้านหนึ่งของถ้ำเป็นหาดทรายขาวสะอาดน้ำใสน่าเล่น ล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชัน เกาะมุกมิใช่มีเพียงถ้ำมรกตเท่านั้น แต่ทางด้านฝั่งตะวันออกยังมีชายหาดที่สวยงาม บริเวณแหลมๆ ทางด้านทิศตะวันออกเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนบ้านเกาะมุก ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง ด้านซ้ายและขวาของหัวแหลมคือหาดหัวแหลม และ อ่าวพังงา มีหาดทรายขาวละเอียดสวยงาม
 

เกาะเสม็ด

เกาะเสม็ด


เกาะเสม็ด

          เดือน เมษาหน้าร้อนในปีนี้ หลายคนคงเตรียมทริปดีๆ ไว้สำหรับพักผ่อน หย่อนใจ คลายความร้อน กันแล้วล่ะ และแน่นอน แหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ คงหนีไม่พ้น "เกาะเสม็ด" สถานที่ยอดฮิตพิชิตความร้อนของเมืองระยองฮินั่นเอง  เสน่ห์มัดใจของที่นี่ นอกจากจะมีชายหาดขาวสะอาด น้ำทะเลเย็นใสน่าสัมผัสแล้ว ยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกทั้งยามกลางวันและค่ำคืน ที่สำคัญการเดินทางไปก็ไม่ยากนัก เพราะอยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ เท่าไรด้วยนะ

          นอกจากนี้ ภายในเกาะเสม็ด ยังประกอบไปด้วยชายหาดและอ่าวต่างๆ ที่เรียงรายยาวสุดลูกลูกตา ที่นักท่องเที่ยวต่างการันตีว่าถ้าไปถึงแล้วแทบจะไม่อยากกลับเลยทีเดียว

           หาดทรายแก้ว  ชายหาดชื่อคุ้นหู สำหรับนักท่องเที่ยว ที่หลงใหลในความเฮฮาปาร์ตี้  เรียกว่าเป็นหาดที่ไม่เคยหลับ เพราะมีกิจกรรมร้อยแปดให้เลือกสรร เริ่มอุ่นเครื่องในช่วงเช้าด้วยการเล่นน้ำทะเล ต่อด้วยนอนเอกเขนกรับแสงแดดในช่วงกลางวัน จากนั้นมานั่งเล่นยามเย็นชมพระอาทิตย์ตก พอค่ำหน่อยก็ดริ๊งค์แอนด์แดนซ์ใต้แสงจันทร์  โอ๊ย! มันส์หยดติ๋งจนลืมเวลากลับเลยล่ะคะ
เกาะเสม็ด
เกาะเสม็ด


           อ่าววงเดือน คึกคักไม่แพ้ หาดทรายแก้ว เพียงแต่อ่าวนี้ยังพอมีมุมสงบ ให้ผู้ที่มีโลกส่วนตัวสูงปลีกวิเวกไปทางด้านหัวอ่าวได้ ส่วนชาวแก๊งค์ที่รักความสนุกสนาน ไปรวมตัวกันที่กลางอ่าวได้เลย

           หาดคลองพร้าว ลักษณะหาดกว้างเป็นครึ่งวงกลม เหมาะสำหรับนั่งชมพระอาทิตย์ตก และที่สำคัญบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะกับผู้คนที่อยากหลบหนีความวุ่นวายดีนัก  ส่วนชายหาดที่นี่จะกว้างมากชวนเพื่อนฝูงเล่นกีฬาริมหาดได้สบาย

           อ่าวช่อ/อ่าวทานตะวัน อ่าวช่อ และอ่าวทานตะวัน มีโค้งอ่าวที่ติดต่อกัน ทั้ง 2 อ่าวเหมาะที่จะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อย่างแท้จริง ผู้คนไม่พลุกพล่าน หาดทรายขาว และสวยงาม ลงตัวดีกับวันพักผ่อนของคุณ

           อ่าวทับทิม เป็นอ่าวเล็กๆ ที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนนอนฟังเสียงคลื่นเป็นที่สุด

           อ่าวแสงเทียน เป็นอ่าวที่รักษาความเป็นธรรมชาติไว้ได้มากที่สุด  ฉะนั้นถ้าคุณเป็นนักท่องเที่ยว ประเภทกินลมชมวิว นอนนับดาวแล้วละก็ อ่าวแสงเทียน เป็นอีกอ่าวหนึ่ง ที่คุณไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

           อ่าวหวาย อ่าวหวายค่อนข้างไกลจากหัวเกาะ  เรียกว่ายังคงความสวยงามในแบบธรรมชาติได้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวที่รักสงบ และต้องการความเป็นส่วนตัวม๊ากมาก ต้องมาที่อ่าวหวายเท่านั้นค่ะ
 
           อ่าวกิ่วหน้านอก พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวธรรมชาติอย่างแท้จริง เพียงคุณชอบสัมผัสหาดทรายขาวละเอียด ไม่ต้องเบียดเสียดผู้คน พร้อมนั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก ที่สำคัญใช้เวลาเดินไม่นาน ระยะทางประมาณ 100 เมตรก็จะถึงจุดชมวิว ที่อ่าวกิ่วหน้าใน ที่นี่ถือเป็นแหล่งดื่มกินบรรยากาศที่ดีทีเดียว

           อ่าวกะรัง เหมาะสำหรับลงเล่นน้ำ และชมประการังได้  และยิ่งในช่วงเดือน พ.ย. - ธ.ค.(ปะการัง แค้มปิ้ง) คุณจะได้พบกับนักตกปลามากหน้าหลายตา เพราะพวกเขาแห่กันมาชมปลาอินทรีย์ที่เยอะที่สุด

           อ่าวน้อยหน่า ถึงแม้อยู่ใกล้กับหาดทรายแก้ว แต่บรรยากาศนั้นต่างกันสุดขั้ว (ประมาณว่าอยู่ป่ากับรัชดาซ.4..หุหุ) เรียกว่าใครที่ชอบความเงียบสงบ รักการอ่าน อยากอาบแสงแดดเคล้าน้ำทะเล บริเวณนี้มีพร้อมสรรพรอเพียงคุณหิ้วกระเป๋ามาเท่านั้น

           อ่าวลูกโยน เป็นอีกหนึ่งอ่าวของเหล่าพลพรรครักสงบ เพราะที่นั่นผู้คนไม่พลุกพล่าน  บรรยากาศแถบนั้นก็ชิลล์สุดๆ ถ้าคุณชอบความเงียบสงัดล่ะก็ อ่าวลูกโยนเค้าจัด...ด...ดให้

           อ่าวไผ่ อยู่ใกล้ชิดติดกับหาดทรายแก้ว มีเพียงโขดหินบางๆ คั่นอยู่ นักท่องเที่ยวส่วนมาก จะเหมาเดินเที่ยวหาดทรายแก้ว ไล่ไปจนถึง อ่าวไผ่ ในบริเวณโขดหิน มีวิวสวยงาม เหมาะกับการอาบแดด ถ่ายรูป ฯลฯ มีข้อแนะนำนิดนึงสำหรับผู้ที่ลงเล่นน้ำ ห้ามย่างกรายไปบริเวณที่มีธงสีแดงปักอยู่เป็นอันขาด เพราะตรงนั้นเป็นจุดน้ำวนค่ะ

           อ่าวนวล เป็นอ่าวเล็ก ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความสมถะ เรียบง่าย เพราะที่นี่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก 

           อ่าวขาม เป็นอ่าวหิน ที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้ามา นอกจากจะนั่งเรือผ่านมาขึ้นทางอ่าวพร้าว ลักษณะภูมิประเทศ ของอ่าวขาม คล้ายๆ กับแหลมเรือแตก


การเดินทาง
ผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัว มีหลายเส้นทางให้เลือกดังนี้

         
- เส้นทางแรก ทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) จากกรุงเทพฯ ผ่านอำเภอบางปู อำเภอบางปะกง จังหวัดชลบุรี บางแสน ศรีราชา พัทยา หาดจอมเทียน สัตหีบ อำเภอบ้านฉาง ไปจนถึงอำเภอเมือง จังหวัดระยอง รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร

          - เส้นทางที่ 2 ทางหลวงหมายเลข 34 (ถนนบางนา-ตราด) เริ่มจากตรงจุดสิ้นสุดทางด่วนด่านเฉลิมนคร อำเภอบางนา ผ่านอำเภอบางพลี อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ และเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 3 ที่กิโลเมตรที่ 70 อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา หลังจากนั้นก็จะผ่านเส้นทางเดียวกันกับเส้นทางที่ 1 รวมระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร

          - เส้นทางที่ 3 ทางหลวงหมายเลข 36 (บายพาส 36) จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางเดียวกับเส้นทางที่ 2 จนถึงกิโลเมตรที่ 140 อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 36 จากนั้นให้เดินทางต่อไปยังจังหวัดระยองด้วยระยะทาง 70 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 210 กิโลเมตร

          - เส้นทางที่ 5 ทางหลวงหมายเลข 7 (สายมอเตอร์เวย์) เริ่มจากถนนพัฒนาการ เขตประเวศ กรุงเทพฯ ไปสิ้นสุดที่ จังหวัดชลบุรี ระยะทาง 75 กิโลเมตร จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 36 เป็นระยะทาง 100 กิโลเมตร จนถึงอำเภอเมือง จังหวัดระยอง รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 175 กิโลเมตร

          และ ผู้ที่ใช้บริการรถสาธารณะ มีรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย) ไปยังตัวจังหวัดระยอง และอำเภอต่างๆ ในจังหวัดหลายเส้นทาง ได้แก่

          - สายกรุงเทพฯ - ระยอง, บ้านเพ, แกลง, แหลมแม่พิมพ์, มาบตาพุด, ประแสร์ เป็นต้น

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0  2391 2504

          - สถานีเดินรถโดยสาร จังหวัดระยอง โทร.  0 3861 137 9

          การเดินทางไปเกาะ จะมีเรือจากท่าเรือบ้านเพ บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ค่าโดยสารระหว่างบ้านเพ-เกาะเสม็ด (ไป-กลับ 100 บาท/ท่าน) ใช้เวลาเดินเรือประมาณ 40 นาที ส่วนเรือ speed boat อยู่ที่คนละ  250 บาทหรือเหมาลำประมาณ 1,500 - 2,600 บาท

          การเดินทางบนเกาะ มี ถนนเพียงสายเดียว เป็นทั้งถนนคอนกรีตและถนนดิน และบนเกาะก็มีรถสองแถว(TAXI) บริการไปตามหาดต่าง ๆ ค่ารถประมาณ 10-500 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง หากต้องการจะเหมาเที่ยวทั้งเกาะราคาประมาณ 800 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยและสนใจมอเตอร์ไซต์เช่า ราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท

หมู่เกาะพีพี

  หมู่เกาะพีพี

     หมู่เกาะพีพี เป็นหมู่เกาะอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อยู่ในตำบลอ่าวนาง เขตอำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ มีระยะทางระหว่างจากจังหวัดกระบี่ประมาณ 42 กิโลเมตร และห่างจากเกาะภูเก็ตประมาณ 40 กิโลเมตร หมู่เกาะพีพีประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ รวมกัน 6 เกาะ ซึ่งประกอบด้วย เกาะพีพีดอน เกาะพีพีเล เกาะบิด๊ะนอก เกาะบิด๊ะใน เกาะยูง เกาะไผ่ นอกจากเกาะต่าง ๆ แล้วยังมีเวิ้งอ่าวที่สำคัญได้แก่ อ่าวโล๊ะลาน่า อ่าวโล๊ะดาลัม อ่าวหยงกาเส็ม อ่าวต้นไทร อ่าวโล๊ะบาเกา อ่าวผักหนาม อ่าวรันตี อ่าวบิเล๊ะ อ่าวมาหยา และอ่าวโล๊ะซามะ

    ลักษณะเด่นของหมู่เกาะพีพี หมู่เกาะพีพีมีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้น 11.2 ตร.กม. เฉพาะเกาะพีพีดอนซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด มีเนื้อที่ประมาณ 9.408 ตร.กม.

สภาพโดยทั่วไปของหมู่เกาะพีพี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาโดยเฉพาะภูเขาหินปูนสูงชัน พื้นที่ราบและหาดทรายกระจายอยู่ทุกเกาะตลอดจนมีแนวปะการัง และสรรพชีวิตใต้ทะเลอุดมสมบูรณ์ หาดทรายขาวสะอาด มีปลาทะเลชนิดต่างๆ หลากหลายสีสัน และจะมีแพลงตอนจำนวนมาก น้ำทะเลมีสีเขียวอมฟ้าใสงามดังมรกต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกในความงดงามตามธรรมชาติจนได้ รับการขนานนามว่าเป็น " มรกตแห่งอันดามันสวรรค์เกาะพีพี" เหมาะแก่นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปชมทัศนียภาพทางทะเลเป็นอย่างดี
 อ่าวมาหยา
     เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงทั้งในด้านความสมบูรณ์ทาง ธรรมชาติและ ชื่อเสียงในด้านใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่อง The Beach โดยลักษณะทั่วไปของอ่าวมาหยา จะมีภูผาที่ปกครอบด้วยพรรณไม้สีเขียวโอบล้อมเปรียบเสมือนกำแพงอ่าว น้ำทะเลที่ใสดุจดังกระจกสามารถมองเห็นพื้นทรายหรือปะการังเบื้องล่างได้ อย่างง่าย เมื่อขึ้นสู่ชายหาดจะสัมผัสได้กับพื้นทรายที่ขาวนวลละเอียด และเมื่อมองออกไปเบื้องหน้าภายนอกเปรียบเสมือนเราถูกโอบล้อมด้วยขุนเขามี เบื้องหน้าเปรียบเสมือนประตูเข้ามา ยามผู้คนน้อยนิดไม่ผิดอะไรกับอีกโลกหนึ่งที่เราสัมผัสได้ ช่วงเหมาะกับการเที่ยวอ่าวมาหยานั้นอยู่ในช่วงตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งในช่วงนี้จะมีสภาพคลื่นลมไม่แรง เพราะถ้าคลื่นลมแรงจะทำให้น้ำบริเวณนั้นขุ่นไม่ใส และช่วงนี้หาดทรายจะทอดตัวเป็นแนวราบยาวลงทะเล แต่ถ้าเป็นช่วงมรสุมจะมีสภาพคลื่นลมค่อนข้างแรงมาก ไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ และบริเวณหาดทรายจะถูกคลื่นซัดยกตัวขึ้นสูงจนบางครั้งไม่สามารถขึ้นสู่ฝั่ง ได้ และการเดินทางไปบริเวณอ่าวมาหยาในช่วงมรสุมนั้นถือว่าค่อนข้างอันตรายมาก ยิ่งถ้าเป็นเรือเล็กขอห้ามโดยเด็ดขาด

โละซามะ
     เนื่องจากบริเวณนี้อยู่เข้าไปด้านในมีเกาะเล็กเป็นเสมือนกำบังลมจึงทำให้ บริเวณนี้นักท่องเที่ยวมักนิยมนำเรือมาลอยลำเพื่อลงดำผิวน้ำ ดูปะการัง และสนุกกับฝูงปลามากมาย ที่คอยแหวกว่ายรอบตัวเรา บริเวณสามารถเข้าท่องเที่ยวได้ตลอด แต่ช่วงระยะที่เดินทางภายนอกก่อนเข้าไปในโละซามะต้องใช้ความระมัดระวังใน ช่วงหน้ามรสุมเพราะคลื่นลมแรง แต่ถ้าสามารถเข้าไปบริเวณด้านในจะค่อนข้างสงบเพราะมีเกาะเล็ก ๆ บังลมและคลื่นไว้

ปิเละ
    เป็นสถานที่อยู่ภายในเข้าไปในหุบเขา โดยเรือสามารถแล่นเข้าไปภายใน ( ต้องระวังเรื่องระดับน้ำด้วย ) และเมื่อเข้าไปภายในจะเปรียบเสมือนคล้ายลากูนใหญ่ ที่มีขุนเขากั้นรอบด้าน ท้องน้ำที่เรียบสงบ ใสดุจดังกระจก เหมาะอย่างยิ่งในการลงเล่นน้ำ จึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมลอยลำลงเล่นน้ำบริเวณนี้ บริเวณปิเละจะไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับคลื่นลมเท่าไรในช่วงหน้ามรสุม แต่จะลำบากในช่วงเดินทางเข้าไปเท่านั้น

หาดยาว
    เป็นชายหาดที่ตั้งอยู่บนเกาะพีพีดอน มีลักษณะแนวหาดชายที่ทอดตัวยาว บริเวณแห่งนี้มีน้ำทะเลที่ใสมาก แต่จะมีลักษณะที่ทอดตัวลงทะเลและหักเป็นก้นกะทะ จึงต้องระวังในการเล่นน้ำด้วย บริเวณหาดทรายยามเมื่อกระทบแสงแดดทำเกิดแสงสะท้อนมาก เนื่องจากเป็นหาดทรายที่ขาวนวลละเอียด และบริเวณนี้ยังมีรีสอร์ท และบังกะโล เปิดให้บริการมากมายตลอดแนว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพักผ่อนนอนแอบแดด บริเวณหาดยาวเหมาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงไม่มีคลื่นลม ทะเลเรียบน้ำจะใสมาก แต่หลังจากช่วงดังกล่าวเป็นช่วงมรสุมอาจมีคลื่นลมบ้าง และน้ำจะไม่ใสเท่าที่ควรเพราะคลื่นซัดทำให้น้ำขุ่น แต่ก็สามารถท่องเที่ยวได้

หินแพร
     เป็นแนวหินที่อยู่ไม่ไกลจากฝั่งสามารถว่ายไปถึงได้ บริเวณนี้จะมีแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์สวยงาม และฝูงปลาหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ จึงเหมาะอย่างยิ่งในการดำผิวน้ำ ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมนำเรือมาลอยผูกทุ่นเพื่อดำผิวน้ำกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ด้านหน้าของหาดยาว ดังนั้นสภาพอากาศจึงไม่แตกต่างจากหาดยาวมากนัก

เกาะไผ่
    เป็นเกาะส่วนหนึ่งของหมู่เกาะพีพี ตั้งอยู่บริเวณตรงข้าม แนวแหลมตง เป็นเกาะที่มีหาดทรายขาวสะอาดมาก และน้ำทะเลที่ใส เหมาะแก่การเล่นน้ำ พักผ่อน ภายในบนเกาะยังมีป่าสนคอยให้ความร่มรื่น และบริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานอุทยานแห่งชาติ มีห้องน้ำบริการนักท่องเที่ยว บริเวณเกาะไผ่ในช่วงมรสุมในบางครั้งไม่สามารถนำเรือขึ้นเทียบหาดได้ เพราะคลื่นลมจะค่อนข้างแรง และสภาพน้ำทะเลไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ

เกาะนกยูง
    เป็นเกาะที่อยู่ตรงข้ามกับเกาะไผ่ เป็นเกาะที่เมื่อเวลาน้ำขึ้นจะไม่มีแนวชายหาด จะมีแนวชายหาดเฉพาะน้ำลงเท่านั้น นักท่องเที่ยวไม่นิยมเดินทางมามากนัก เพราะลักษณะโดยทั่วไปเป็นเขาสูงไม่สามารถขึ้นไปด้านบนได้

อ่าวต้นไทร
    บริเวณแห่งนี้ถือว่าเป็นจุดที่มีการพัฒนาความเจริญมากที่สุด เป็นบริเวณที่มีผู้คนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ พักอาศัย และประกอบอาชีพหลากหลายอยู่ และเป็นจุดที่ให้บริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของเกาะพีพี อาทิ การดำน้ำลึก การเช่าเรือท่องเที่ยวรอบหมู่เกาะพีพี มีร้านอาหาร และสินค้าที่ระลึกมากมาย ปัจจุบันนี้ ( พฤษภาคม 2549 ) สภาพของอ่าวต้นไทร ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบริเวณนี้มีท่าเทียบเรือ ซึ่งเรือที่เดินทางจากสถานที่ต่าง ๆจะมาเทียบท่าบริเวณนี้ ดังนั้นเมื่อเรือเข้าออกเป็นจำนวนมาก จึงเกิดมลภาวะเกี่ยวกับน้ำทะเลในด้านของเสียที่ปล่อยจากเรือทำให้น้ำบริเวณ ไม่สะอาดเท่าที่ควร และหาดทรายบริเวณนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการพักผ่อน แต่อ่าวต้นไทรเหมาะแก่การเดินชมทิวทัศน์ และการค้าขายในรูปแบบต่าง และที่แห่งนี้ยังมีจุดชมวิวจากบนเขาลงมาเห็นภาพข้างล่างของอ่าวต้นไทรได้สวย งามมาก ที่อ่าวต้นไทรยังเป็นแหล่งบันเทิงในหลายรูปแบบยามค่ำคืน ที่นี่จึงไม่เหงาแม้ผู้คนจะมากหรือน้อย
    
  แหลมตง
     เป็นบริเวณที่ตั้งของรีสอร์ท และร้านอาหาร นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวบริเวณนี้โดยมากจะเป็นลูกค้าของรีสอร์ทที่ตั้ง อยู่บริเวณนี้ และที่แห่งนี้เหมาะอย่างยิ่งกับผู้รักความสงบของธรรมชาติ และการเดินทางมาบริเวณแหลมตงนั้นจะต้องใช้ทางเรืออย่างเดียว แม้จะอยู่บริเวณเกาะพีพีดอนก็ตาม และที่แห่งนี้ไม่มีความบันเทิงใด ๆ บริการแก่นักท่องเที่ยว ดังนั้นที่จึงเหมาะแก่การพักผ่อนอย่างเดียว

เกาะสีชัง

เกาะสีชัง  นาม "สีชัง"  


       


      จากหลักฐานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่านาม “สระชัง” คงจะเรียกขานกันมาก่อนปีพุทธศักราช ๒๒๓๕ เข้าใจว่า ต่อมาการออกเสียง “สระชัง” อาจเพี้ยนไปเป็น “สีชัง” ซึ่งเป็นเสียงสั้น และง่ายกว่า เช่นเดียวกับคำอื่นๆ อีกหลายคำ เช่น บางปลากง ออกเสียงเป็น บางปะกง บางเชือกหนัง ออกเสียงเป็น บางฉนัง วัดเสาประโคน ออกเสียงเป็น วัดเสาวคนธ์ ทัพพระยา ออกเสียงเป็น พัทยา เป็นต้น ได้มีการสันนิษฐานกันเป็นหลายนัยเกี่ยวกับชื่อ สีชัง บ้างก็ว่า
คำว่า สีชัง เพี้ยนมาจาก สีห์ชังฆ์ ซึ่งแปลว่า แข้งสิงห์ บ้างก็ว่า สี กับ ชัง เป็นชื่อบุคคลผู้มาตั้ง
รกรากทำมาหากินอยู่บนเกาะนี้เป็นคู่แรก อย่างไรก็ตาม คำว่า สระชัง น่าจะมีความไพเราะและ
มีความหมายมากที่สุด ทั้งนี้เพราะว่า สระชัง หมายถึง การชะล้างเอาความเกลียดชังออกไป
( มิได้หมายถึงสระน้ำแห่งความชิงชัง ) เช่นเดียวกับคำว่า สระบาป ซึ่งเป็นชื่อเทือกเขาใน
จังหวัดจันทบุรี สระบาป หมายถึง การชะล้างเอาบาปทิ้งไป ( มิได้หมายถึงห้วงน้ำแห่งบาป ) จึงถือโอกาสนี้ขออัญเชิญพระราชนิพนธ์ เมื่อคราวเสด็จประพาสจันทบุรีในปีพุทธศักราช ๒๔๑๙ พรรณนาเกี่ยวกับคำว่า สระบาปไว้ดังนี้

                      สระบาปบาปก่อนสร้าง ปางใด         สระบ่สระทรวงใน สร่างสร้อย
                      สระสนานยิ่งอาไลย นุชนาฏ             สระช่วยสระบาปน้อย หนึ่งให้สบนา
                                        พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

                      สระบาปบาปสร่างสิ้น ฉันใด            สระบ่สระโศกใน อกบ้าง
                      สระสร่างแต่กายใจ                          ยังขุ่น เขียวแฮ
                      สะจะสระโศกร้าง                             รุ่มร้อนฤามี
                                            กรมหลวงพิชิตปรีชากร

       อนึ่ง คำว่า สระชัง อาจเพี้ยนมาจากคำว่า สทึง หรือ จทึง ที่แปลว่า แม่น้ำ หรือ ห้วงน้ำ
ในภาษาเขมร คำอื่นๆ ในภาษาไทยที่เพี้ยนมาเช่นเดียวกัน เช่น สทิงพระ สทิงหม้อ คลองพระสทึง ฉะเชิงเทรา เป็นต้น คำว่า ฉะเชิงเทราเพี้ยนมาจาก สทึงเทรา ที่แปลว่า แม่น้ำลึก หรือห้วงน้ำลึก โดยนัยดังกล่าวข้างต้น คำว่า สระชัง ก็น่าจะเพี้ยนมาจาก สทึง กลายมาเป็น สเชิง สชัง สรชังจนเป็น สระชัง ในที่สุดก็อาจเป็นได้ ในสมัยโบราณ เมื่อการ
      เดินทางค้าขายกับต่างประเทศยังใช้การคมนาคมขนส่งทางน้ำเป็นสำคัญ ไทยเราได้มีการ
ค้าขายกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ในบรรดาสินค้าที่นำไปขายมีเครื่องสังคโลกรวมอยู่ด้วย ในสมัยนั้นเรือสินค้าของไทยเป็นจำนวนมากได้อับปางในบริเวณอ่าวไทยด้านตะวันออก 
บริเวณเกาะสีชัง พัทยา และสัตหีบ ในขณะที่เรือสินค้าเดินทางออกมาจากปากอ่าวเข้าสู่
ทะเลใหญ่ ไม่มีสิ่งใดเป็นที่หมายแห่งสายตา จะมีก็แต่เกาะสีชังเท่านั้นเมื่อชาวเรือแล่นเรือ
มาถึงบริเวณนี้และมองเห็นเกาะสีชัง จึงเรียกบริเวณนี้ว่า สระชัง ซึ่งหมายถึงบริเวณที่เป็น
ห้วงน้ำอันกว้างใหญ่ คำว่า สระชัง ได้กลายมาเป็น สีชัง ในปัจจุบัน
     จากหลักฐานต่างๆ แสดงว่าได้มีการเรียกชื่อเกาะสีชังว่า สระชัง กันมาแต่เดิมแล้ว อย่างน้อยก็คงก่อนปีพุทธศักราช ๒๒๓๕ หลังจากนั้นยังไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่า คำว่า สระชัง ได้เลือนมาเป็น สีชัง ตั้งแต่สมัยใด จากหลักฐานทางวรรณคดีเท่าที่พบปรากฏว่าได้มี
การใช้คำว่า สีชัง เมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๒๓๗๐ อันเป็นปีที่ นายมี ศิษย์ของท่านสุนทรภู่
เดินทางไปเมืองถลาง และได้แต่งนิราศถลางไว้ ดังปรากฏในคำกลอนตอนหนึ่งว่า

                      เหลียวเห็นเกาะสีชังนั่งพินิจ                เฉลียวคิดถึงนุชที่สุดหวัง
                      ให้นึกกลัวน้องหญิงจะชิงชัง                ถ้าเป็นดังชื่อเกาะแล้วเคราะห์กรรม

     หลังจากนั้นมาได้มีการใช้คำว่า สีชัง แพร่หลายขึ้น และคงจะไม่มีการเลือนไปเรียก
เป็นอย่างอื่นอีกต่อไป ทั้งนี้เนื่องจากได้มีการจดบันทึกชื่อของสถานที่แห่งนี้ลงในทำเนียบของ
ทางราชการ กล่าวคือ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระองค์ได้เสด็จประพาสเกาะสีชัง โดยเรือกลไฟที่ต่อในประเทศไทย ชื่อ สยามอรสุมพล และได้มีการยกเกาะสีชังขึ้นเป็นอำเภอเกาะสีชัง ขึ้นอยู่กับจังหวัดสมุทรปราการ ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ได้มีการยุบอำเภอเกาะสีชังเป็นกิ่งอำเภอ
เกาะสีชัง ขึ้นกับอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ กระทรวงมหาดไทยได้โอนกิ่งอำเภอเกาะสีชังจากอำเภอเมือง
สมุทรปราการไปขึ้นกับอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันเกาะสีชังเป็นกิ่งอำเภอในจังหวัด
ชลบุรี เกาะสีชังได้ชื่อว่าเป็นภูมิสถานที่มีอากาศบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อกันว่าการที่ผู้เจ็บป่วย
หรือร่างกายไม่แข็งแรง หากได้รับอากาศบริสุทธิ์แล้ว จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นได้ ประกอบกับเกาะสีชังนี้มีภูมิประเทศที่สวยงามเป็นที่ร่มรื่น มีทั้งทะเลและป่าเขาลำเนาไพร ที่มีความงามตามธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นเครื่องช่วยประเทืองใจให้แช่มชื่น และเมื่อผู้ใดมีความ
สบายกาย สบายใจปราศจากโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ผู้นั้นก็ย่อมจะมีอายุยืนนานโดยเหตุที่เกาะสีชัง
เป็นสถานที่ที่มีอากาศดีมีภูมิประเทศที่สวยงามประกอบกับอยู่ไม่ไกลเมืองหลวงมากนักบรรดา
เจ้านาย ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป ตลอดจนชาวต่างประเทศ ต่างก็นิยมมาพักผ่อน พักฟื้น
และรักษาตัวกันเป็นจำนวนมากในอดีต เท่าที่ปรากฏในหลักฐาน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เคยเสด็จประพาสเกาะสีชังโดยเรือกลไฟสยามอรสุมพลนับเป็นครั้งแรก
ที่พระมหากษัตริย์เสด็จฯ ยังเกาะสีชัง เกาะสีชังในสมัยรัชกาลที่ ๔ ยังไม่มีประชาชนอาศัย
อยู่มากนัก ด้วยเพิ่งจะเริ่มเข้ามาอยู่กันไม่กี่ครัวเรือน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเกาะสีชังอยู่เนืองๆ ทุกครั้งที่เสด็จฯ จะมียายเสม ซึ่งเป็นหญิงชาวเกาะที่เป็น
ผู้ใหญ่ เป็นที่นับถือของชาวเกาะได้เข้าเฝ้าฯ ทุกครั้ง ญาติพี่น้องของยายเสมเป็นผู้ที่มี อายุ
มากด้วยกันทุกคน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสสรรเสริญเกาะสีชังว่า
เป็นสถานที่ ที่อากาศดี ดังนั้น ผู้ที่อยู่บนเกาะจึงมีอายุยืนนานปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ในโอกาส
ที่พระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเกาะสีชังนั้น พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์( พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ) ก็เคยตามเสด็จฯ มาด้วยหลายครั้ง

หาดนางรำ

         หาดนางรำ

   หาดนางรำ เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทะเลน้ำใสสีฟ้าคราม สวยงาม อยู่ในเขตทหาร ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ภายใน หาดนางรำ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเช่น สโมสรร้านอาหาร เครื่องดื่ม อาคารพักรับรอง ทั้งห้องปรับอากาศและธรรมดา ที่หาดมีเก้าอี้ผ้าใบ เสื่อ ให้เช่า สามารถเช่าเรือพายเล่นในทะเล หรือจะเล่นบานาน่าโบ๊ทก็มีให้บริการ
      หาดนางรำ เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน รถยนต์ เสียค่าบำรุงสถานที่คันละ 20 บาท รถตู้ 30 บาท รถบัส 50 บาท


 


    หาดนางรำ มีความยาวชายฝั่งประมาณ 200 เมตร สุดปลายหาดคือแหลมนางรำมีรูปปั้นพระอภัยมณีและผีเสื้อสมุทรเลยจากแหลมนางรำ ไปก็จะเป็นหาดนางรองสามารถเดินไปได้ครับ หาดนางรองจะเงียบๆและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า


 


      ที่มาของ หาดนางรำ เดิมหาดนางรำเป็นหาดที่ไม่มีชื่อ จากตำนานของชาวบ้านเล่าว่าคำว่า นางรำ เป็นชื่อเรียกเกาะที่อยู่ตรงข้ามหาดนางรำในปัจจุบัน เป็นเกาะที่ไม่มีคนอาศัย และไม่ค่อยมีคนไปเที่ยวนัก อยู่มาวันหนึ่งมีเสียงดนตรีมโหรีดังกึกก้องมาจากเกาะนี้ คล้ายเสียงดนตรีที่ใช้ในการร่ายรำ วันดีคืนดีก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นจากเกาะนี้อีก ชาวบ้านจึงเรียกเกาะนี้ว่า เกาะนางรำ และหาดที่อยู่ตรงข้ามจึงเรียกหาดนางรำ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน




      เรือคายัคให้เช่าชั่วโมงละ 80 บาท รวมเสื้อชูชีพ นั่งได้ไม่เกิน 3 คน เอาเข้าจริงๆพายไม่ถึงชั่วโมงหรอกเพราะมันเหนื่อยและร้อน



ช่วยกันพาย สามัคคีคือพลัง



อดใจไม่ไหวของลงทะเลดีกว่า




น้ำทะเลใสๆกับโขดหิน



สิ่งอำนวยความสะดวกบริเวณหาดนางรำ
  • สโมสรการท่าเรือสัตหีบ มีบริการอาหาร , เครื่องดื่ม เปิดเวลา 10.30-21.00 น
  • ร้านอาหารส้มตำ ไก่ย่าง ยำ อาหารทะเล ขนม เครื่องดื่มมีให้เลือกหลายร้าน
  • ร้านขายเสื้อผ้าเล่นน้ำทะเล ของที่ระลึก
  • ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำจืด
  • เช่าเสื่อ ราคา 10 บาท/ผืน
  • ห่วงยาง ราคา 20 บาท/ห่วง/2 ชั่วโมง
  • เตียงผ้าใบ ราคา 20 บาท/ตัว
  • โต๊ะวางของใหญ่ ราคา 20 บาท/ตัว
  • โต๊ะวางของเล็ก ราคา 10 บาท/ตัว

หาดเจ้าหลาว

 หาดเจ้าหลาว

 

    หาดเจ้าหลาว อยู่ห่างจากอำเภอท่าใหม่ 19 กิโลเมตร ถัดมาจาก หาดแหลมเสด็จ มี บรรยากาศเงียบสงบ เป็นหาดทรายสีนวล ยาวเหยียดสุดสายตา ร่มรื่นด้วยทิวมะพร้าว ผู้คนนิยมไปพักผ่อนกันที่นี่ในวันหยุด มีที่พักตั้งแต่ระดับปานกลางจนถึงระดับมาตรฐาน และร้านอาหารไว้บริการนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีเรือท้องกระจกและเรือเร็วบริการนำนักท่องเที่ยวไปชมแนว ปะการังน้ำตื้นที่อยู่ห่างจากฝั่งไปเพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งนับเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ง่ายนัก เพราะโดยปกติแล้วปะการังจะเกิดในบริเวณที่เป็นเกาะเท่านั้นเนื่องจากมีการ ไหลเวียนของกระแสน้ำพอเหมาะ อุณหภูมิเหมาะสม และไร้มลพิษ การพบปะการังบริเวณใกล้แนวชายฝั่งจึงสะดวกต่อการเดินทางไปชมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น  ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว คือระหว่างเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม ทั้งนี้สามารถหาเช่าเรือท้องกระจกเพื่อชมปะการัง จุได้ประมาณ 5-20 คน ราคา 800-1,400 บาท ได้ที่ หาดสวย รีสอร์ท  โทร. 0 3936 9111
การเดินทาง 
    ไปยังหาดคุ้งวิมาน หาดคุ้งกระเบน หาดแหลมเสด็จ และหาดเจ้าหลาว สามารถเข้าถึงได้สองเส้นทาง คือ จากถนนสุขุมวิทก่อนถึงตัวเมืองจันท์ราว 30 กิโลเมตร ถึงกิโลเมตรที่ 301 มีทางแยกขวาไปตามทางหลวง 3399 และจะพบป้ายทางแยกไปหาดต่าง ๆ เป็นระยะ และอีกเส้นทางหนึ่งคือ จากตัวเมืองเดินทางไปอำเภอท่าใหม่ระยะทาง 17 กิโลเมตร ต่อด้วยเส้นทางที่ไปเขื่อนวังโตนดและเลยไปจนถึงชายทะเลได้เช่นกัน

หาดจอมเทียน

  หาดจอมเทียน

 


       หาดจอมเทียน หาดทรายยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด ชลบุรี ที่นักท่องเที่ยวรู้จัก กันเป็นอย่างดีรองแต่หาดพัทยาเท่านั้น เดิมเรียกว่าหาดดงตาล เพราะมีต้นตาลตลอดแนว มีหาดทรายสีนวลสะอาด ลาดเอียงเล็กน้อยแต่ชายหาดค่อนข้างแคบ ห่างจากตัวเมืองพัทยาประมาณ 4 กิโลเมตรทางด้านทิศใต้ ชายหาดเหยียดตรงยาวราว 6 กิโลเมตร เล่นน้ำได้เป็นอย่างดี ยกเว้นบางช่วงที่ชายหาดตัดชันทำให้น้ำลึกกว่าปกติต้องใช้ความระมัดระวัง
      หาดจอมเทียน มีถนนที่ร่มรื่นเลียบชายหาดโดยตลอด มีร้านอาหาร ร้านค้าไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว มีโรงแรมหรู รีสอร์ทดีๆ คอนโดมิเนียม ร้านอาหารทะเลสดๆ ตั้งอยู่ตลอดแนว ทางด้านชายหาดเป็นหาดที่เงียบสงบชวนพักผ่อน เล่นน้ำ และสนุกสนานกับกิจกรรมทางน้ำที่มีให้บริการแทบทุกชนิด เช่น กระดานโต้คลื่น ขับเรือสกู๊ตเตอร์ เจ็ทสกี และวินด์เซิร์ฟ เป็นต้น
ส่วนผู้ที่ชอบนอนพักผ่อนรับลมทะเล ก็มีเตียงผ้าใบพร้อมร่มชายหาดให้บริการ ในตอนเย็นๆก็มีวิวสวยๆยามอาทิตย์ตกให้ชมอีกด้วย
 
  

หาดป่าตอง ภูเก็ต

หาดป่าตอง ภูเก็ต

 

       
      เป็นชายหาดที่มีชื้อเสียงมากที่สุดของเกาะภูเก็ต และยังเป็นสถานที่ผักผ่อนที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาผักผ่อนตลอดทั้งปี อีกด้วย ภายในบริเวณมี่บ้านพัก โรงแรม บริษัทนำเที่ยว ร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งบันเทิงยามค่ำคืนไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยว ที่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นสถานที่ท่องเที่ยว 24 ชม. เลยก็ว่าได้ ณ บริเวณชายหาดยังมีหาดทรายขาวละเอียด เหมาะสำหรับเล่นน้ำทะเล และยังมีกิจกรรมทางทะเล ไม่ว่าจะเป็น เจสกี สปีดโบท และอื่นๆอีกมากมาย ไว้สำหรับรองรับนักท่องเที่ยว อย่างครบครัน
 
จุดเด่น
- เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากที่สุดของภูเก็ต
- บริเวณหาดมีเม็ดทรายสีขาวละเอียด
- มีแหล่งช๊อปปิ้ง ร้านอาหาร แพ็คเกจทัวร์ สปา ทั้งขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก
- มีโรงแรมรองรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก
- มีกิจกรรมท่องเที่ยวตามชายหาดทุกรูปแบบ
- สามารถเดินทางข้ามไปยัง หาดพาราไดส์ ภูเก็ต ได้ เพียงไม่กี่นาที เนื่องจากเป็นหาดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
- มีแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีสำหรับนักท่องเที่ยวทุกรูปแบบและเป็นจำนวนมาก
- มีจุดรับส่งนักท่องเที่ยวหรือแท็กซี่บริการนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
จุดด้อย
- ที่จอดรถมีจำนวนมากแต่ก็ยังไม่ยังไม่พอสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมาก
- ช่วงเทศกาลพิเศษจะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นมาก
 
การเดินทาง
      การเดินทางมายังหาดป่าตองสามารถมาถึงได้จากสามทางหลัก หากเดินทางมาจากตัวเมืองโดยนับจาก"สนามกีฬาสุระกุลภูเก็ต" จะใช้เวลา ประมาณ 25 นาที หรืออีกเส้นทางที่สองสามารถเดินทางจากหาดกะรนจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที และอีกเส้นทางที่สามสามารถเดินทาง มาจากหาดกมลาโดยจะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเช่นกัน โดยทั้งสามทางสามารถเดินทางไปถึงหาดได้ทั้งรถยนต์และ รถจักรยานยนต์

หาดกมลา ภูเก็ต

หาดกมลา ภูเก็ต

 

     หาดกมลา เป็นอีกหนึ่งชายหาดที่มีความเงียบสงบ หาดกมลาอยู่ถัดลงมาทางใต้ของหาดสุรินทร์ เป็นหาดทรายที่มีเม็ดทรายไม่ละเอียดมากนัก มียาวความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร และที่หาดกมลาแห่งนี้ยังมีอนุสรณ์สถานสึนามิ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนถึงพิบัติภัยคลื่นยักษ์ ที่เคยเกิดขึ้นที่ชาดหาดแห่งนี้ เป็นประติมากรรมชื่อว่า จิตจักรวาล บริเวณเหนือหาดยังมีที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว อย่างครบครัน
 
จุดเด่น
- นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นมากนัก เหมาะสำหรับการพักผ่อนในบรรยากาศครอบครัว
- มีร้านอาหารขนาดเล็กหลากหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทยหรืออาหารฝรั่งอยู่รอบๆบริเวณหาด
- มีโรงแรมขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง รวมไปถึงอพาร์ทเมนต์ให้เช่าพอสมควร
- มีแหล่งช๊อปปิ้ง สปา มินิบาร์ ขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก
- เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่มาพักผ่อนระยะยาวเป็นส่วนใหญ่
- มีจุดรับส่งนักท่องเที่ยวหรือแท็กซี่
- มีสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมประเภทการแสดงโชว์ (ภูเก็ตแฟนตาซี) อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
 
จุดด้อย
- เม็ดทรายบริเวณหาดมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ไม่ขาวละเอียด
- ไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากนัก หากเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับสากล ในระดับเดียวกัน เช่น หาดกะตะ หาดกะรน
 
การเดินทาง
    หาดกมลา สามารถเดินทางจากถนนหลักได้ทั้งสองทาง ทั้งจากการเดินทางมาจาก หาดป่าตองผ่าน หาดกะหลิมขับผ่านไปตามถนนหลัก ก็จะพบหาดกมลา หรือหากเริ่มการเดินทางจากอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร มาตามถนนหลัก จะอยู่ถัดลงมาทางใต้ของหาดสุรินทร์ และห่างจากแหลมสิงห์ประมาณ 1 กิโลเมตร นับเป็นหาดทางฝั่งเหนือของภูเก็ต สามารถเดินทางไปถึงหาดได้ทั้งรถยนต์และ รถจักรยานยนต์

หาดกะตะ ภูเก็ต

หาดกะตะ ภูเก็ต

 

     หาดกะตะเป็นชายหาดที่อยู่ระหว่างหาดกะตะน้อยและหาดกะ รน โดยใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาทีระหว่างทั้งสามหาด หาดกะตะเป็นชายหาด ที่มีชื้อเสียงแห่งหนึ่งของภูเก็ต มีเม็ดทรายสีขาวและละเอียดสวยงาม บริเวณชายหาดมีต้นปาล์มขึ้นเป็นแนวตามชายหาด สวยงามเป็นที่นิยม พักผ่อนของชาวต่างชาติ บริเวณชายหาดมีบ้านพัก บริษัทนำเที่ยว ร้านค้า แหล่งบันเทิง ไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวอย่างครบครัน
  
 
 
 
จุดเด่น
- เป็นอีกหนึ่งชายหาดที่มีชื่อเสียงมากของภูเก็ต
- บริเวณหาดมีเม็ดทรายสีขาวละเอียด
- เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
- มีแหล่งช๊อปปิ้ง ร้านอาหาร แพ็คเกจทัวร์ สปา ทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางเป็นจำนวนมาก
- มีโรงแรมรองรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก
- เหมาะสำหรับทำกิจกรรมตามชายหาดทุกรูปแบบ
- สามารถเดินทางข้ามไปยัง หาดกะตะน้อย หาดกะรน ได้ เพียงไม่กี่นาที เนื่องจากเป็นหาดที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
- มีแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีสำหรับนักท่องเที่ยว
- มีจุดรับส่งนักท่องเที่ยวหรือแท็กซี่บริการนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
 
จุดด้อย
- ที่จอดรถค่อนข้างน้อย
- ถนนหน้าหาดค่อนข้างแคบ
- ช่วงเทศกาลหรือเป็นวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ นักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาแน่น
 
การเดินทาง
     การเดินมางมายังหาดกะตะ สามารถเดินทางมาจากถนนสายหลักได้ทั้งสองเส้นทาง หากมาทาง หาดกะรน ขับรถมาตามถนนสายหลัก จะอยู่ถััด จากหาดกะรนไปทางด้านทิศใต้เพียงประมาณ 5 นาที หรืออีกเส้นทางหนึ่งสามารถเดินทางมาจาก  หาดกะตะน้อย ได้ โดยจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที เช่นกัน สามารถเดินทางไปถึงหาดได้ทั้งรถยนต์และ รถจักรยานยนต์

เกาะยาว

เกาะยาว
 


     
       ความเป็นมาในอดีต สัณนิฐานว่า คนกลุ่มแรกที่เดินทางมาตั้งหมู่บ้านในเกาะยาวเป็นชาวประมงซึ่งออกเดินทางเร่ ร่อนทำการประมงในทะเลอันดามัน เมื่อถึงหน้ามรสุมจึงหาสถานที่เพื่อหลบคลื่นลม เมื่อพบพื้นที่อุดมสมบูรณ์ จึงตั้งบ้านเรือน และชวนกันอพยพมาตั้งบ้านเรือน สร้างเรือกสวนไร่นา ที่ทำมาหากิน คนกลุ่มแรก หัวหน้ากลุ่ม คือ โต๊ะหลวงชิต (มโนห์รายอดทอง) และโต๊ะแม่ฝ้าย อพยพมาจากจังหวัดตรังในราว พ.ศ. 2270 และประมาณปี พ.ศ. 2328 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช กองทัพเรือของพระเจ้าปะดุงแห่งหงสาวดีบุกเข้าโจมตี เมืองถลาง ในศึกถลางครานั้นไม่เพียงแต่ชาวถลางเท่านั้นที่ลุกขึ้นต่อสู้ป้องกันเมือง ยังมีกองทัพหัวเมืองทางภาคใต้ เช่น เมืองนคร เมืองไทรบุรี ร่วมกับกองทัพของกรุงเทพฯ ยกกองทัพมาช่วยเมืองถลาง ซึ่งในการเดินทางของกองทัพนั้นไม่สามารถที่จะเดินข้ามไปยังเมืองถลางผ่านทาง ช่องแคบปากพระ(ช่องแคบสะพานสารสิน)ได้ เพราะมีกองทัพพม่าเฝ้าดูอยู่ หลวงท้ายน้ำซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่จึงได้ยกทัพผ่านจังหวัดตรัง มาตั้งทัพที่เมืองตะลิบง(ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรังในปัจจุบัน) เพื่อที่จะยกกองทัพมาทางเรือ ไปเมืองถลาง ในการเดินทัพในครั้งนั้นได้กวาดต้อนคนในพื้นที่จังหวัดตรัง สตูลมาช่วยรบกับกองทัพพม่าด้วย กองทัพของหลวงท้ายน้ำได้นัดกับกองทัพหัวเมืองในภาคใต้ให้มารวมทัพกันที่เกาะ ยาวน้อย (ซึ่งในปัจจุบันสถานที่ตั้งกองทัพที่เกาะยาวน้อยได้เรียกว่า "บ้านท่าค่าย") เมื่อกองทัพทั้งหมดมาพร้อมกัน ก็ยกกองทัพผ่านไปทางเกาะนาคาและไปขึ้นทีเมืองถลางต่อไป หลังเสร็จสงครามทหารและพลเมืองที่โดนกวาดต้อนมากับกองทัพส่วนหนึ่งก็ไม่เดิน ทางกลับ ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เกาะยาว ที่มาจาก จังหวัดตรังก็ตั้งบ้านเรือนที่ เกาะยาวน้อย เช่น นายอุเส็น นายอุสัน ตั้งบ้านเรือนที่โล๊ะหา(อ่าวใน) ที่มาจากจังหวัดสตูลและเมืองไทรบุรี ที่นำโดย หวัน มาลี ก็ตั้งบ้านเรือนที่เกาะยาวใหญ่
       ก่อนปี พ.ศ. 2446 บริเวณเกาะเหล่านี้ขึ้นตรงต่ออำเภอเมืองพังงา ได้แบ่งการปกครองออกเป็น 2 ตำบล 24 หมู่บ้าน มีนายบ้านเป็นผู้ดูแลปกครอง มีที่ทำการเป็นศาลาเล็ก ๆ เรียกกันว่า "ทำเนียบ" จะมีเจ้าหน้าที่จากอำเภอมาตรวจตราและเก็บภาษีอากรเป็นครั้งคราว การเดินทางก็ใช้เรือแจวหรือเรือใบเท่านั้นและต้องใช้เวลาเดินทางแต่ละครั้ง หลายวัน
      ต่อมาในปี พ.ศ. 2446 ทางราชการได้ยกฐานะบริเวณเกาะเหล่านี้ตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอเรียกชื่อว่า "กิ่งอำเภอเกาะยาว" แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าหัวหน้ากิ่งอำเภอเป็นใคร
ต่อมาในปี พ.ศ. 2463 ได้มีปลัดอำเภอเป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอคนแรก ชื่อนายชื่น วาสนาวิน ในสมัยนี้ ได้ย้ายที่ทำการจากทำเนียบมาอยู่เป็นที่ว่าการกิ่งอำเภอที่ปลูกสร้างขึ้นที่ ชายทะเลด้วยการอาศัยแรงงานราษฎรช่วยกันสร้างโดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการ
      ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 - 2492 (เอกสารของจังหวัด พ.ศ. 2487 – 2492) นายยศ เปลี่ยนศรีปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอเกาะยาวคนที่ 9 ได้เป็นผู้นำราษฎรสร้างที่ว่าการกิ่งอำเภอขึ้นใหม่ โดยไม่ใช้เงินของทางราชการ และได้ย้ายจากที่ตั้งเดิมเข้ามาข้างในประมาณ 1 กิโลเมตร อาคารที่ทำการหลังนี้ใช้มาจนถึงปี พ.ศ. 2508 ก็ได้รับงบประมาณก่อสร้างที่ว่าการกิ่งอำเภอหลังใหม่ ใช้เป็นที่ว่าการกิ่งอำเภอตลอดมาจนถึงขณะนี้ การติดต่อกับจังหวัดนิยมใช้การเดินทางผ่านจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีระยะทางไกลประมาณ 120 กิโลเมตร ทางกิ่งอำเภอจึงทำเรื่องขอโอนไปขึ้นกับจังหวัดภูเก็ตหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ คือ ปี พ.ศ. 2507 ครั้งหนึ่ง พ.ศ. 2517 ครั้งหนึ่ง พ.ศ. 2523 ครั้งหนึ่ง
       ต่อมาครั้งนายประธาน วิไลชนน์ ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอเกาะยาวได้ทำหนังสือถึงจังหวัดเพื่อขอยก ฐานะกิ่งอำเภอขึ้นเป็นอำเภอตามหนังสือที่ พง 0116/1843 ลงวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ขอให้ยกฐานะเป็นอำเภอเป็นกรณีพิเศษและจังหวัดได้ทำหนังสือเสนอเรื่องนี้ไป ยังกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ตามหนังสือที่ พง 0016/12982 ลงวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2527 และกรมการปกครองได้ตอบหนังสือมายังจังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ให้ทางจังหวัดแจ้งผลการประชุมหัวหน้าส่วนราชการ สภาจังหวัด และสรุปเหตุผลในการยกฐานะเป็นอำเภอโดยย่อส่งกรมการปกครองอีกครั้งหนึ่ง ถึงปลายปี พ.ศ. 2528 ทางจังหวัดดำเนินเรื่องเพื่อยกฐานะกิ่งอำเภอเกาะยาวเป็นอำเภอถึงกระทรวง มหาดไทยตามหนังสือดังกล่าว
      ต่อมาทางจังหวัดได้รับให้ยกฐานะกิ่งอำเภอเกาะยาวขึ้นเป็น "อำเภอเกาะยาว" ได้และทางจังหวัดได้ทำพิธีเปิดอำเภอขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2531 อำเภอเกาะยาวจึงมีฐานะเป็นกิ่งอำเภออยู่ 85 ปี ทั้งนี้ ได้จัดตั้งขึ้นเป็นอำเภอตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ เล่ม 104 ตอนที่ 278 ลงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2530

น้ำตกสาริกา

          น้ำตกสาริกา
 
      ท่องไพรเขาใหญ่ไป  น้ำตกสาริกา ที่นครนายก ท่องไพรเขาใหญ่ชมความงามของ น้ำตกที่ มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานเล่นน้ำที่ใสสะอาดบริสุทธิ์เย็นสบาย พร้อมกับพักผ่อนในอากาศที่แสนจะสดชื่นและบริสุทธิ์ ขอต้อนรับทุกท่านสู่อ้อมกอดของขุนเขาแมกไม้และสายน้ำไหล ที่น้ำตกสาริกา จังหวัดนครนายห เป็นน้ำตกใหญ่ใกล้เมืองกรุงอีกแห่งหนึ่ง
     น้ำตกสาริกาตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งอุทยานจะครอบคลุมพื้นที่ถึง 4 จังหวัด น้ำตกสาริกาถือว่าเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของเมืองนครนายกมาอย่างยาวนาน และเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามแห่งหนึ่งของนครนายกและจังหวัดในแถบภาคกลาง
    น้ำตกสาริกา เป็นน้ำตกที่มีลักษณะโยนตัวลงมาจากหน้าผาที่สูงชันในป่าทึบบนเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีความสูงถึง 9 ชั้น ผาที่สูงสุดประมาณ 100 เมตร ซึ่งในแต่ละชั้นของน้ำตกก็จะมีชั้นหินธรรมชาติรองรับน้ำและกลายเป็นแอ่งน้ำ ขนาดเล็ก ๆ อยู่ทั่วบริเวณชั้นของน้ำตกซึ่งบางแห่งมีขนาดกว้างและน้ำไม่ลึกมากทำให้เรา สามารถลงไปชุ่มฉ่ำกับสายน้ำตกแห่งนี่ได้แบบสบายและปลอดภัยด้วย ชั้นล่างสุดน้ำตกลง เป็นสายใหญ่ จากที่สูงลงสู่อ่างน่ำธรรมชาติ ซึ่งเป็นแอ่งใหญ่มีน้ำมาก เหมาะแก่การลงอาบน้ำเล่น ปัจจุบันมี บันไดปูนขึ้นไปถึงบริเวณชั้นสองได้ ในฤดูฝนน้ำตกไหลแรงตกกระทบโขดหินดังสนั่น เป็นละอองขาวกระจายอยู่ทั่วไป บริเวณโขดเขาริมแอ่งน้ำ   ทางด้านล่างทางขึ้นมายังตัวน้ำตกสาริกา มีร้านบริการอาหารเครื่องดื่มอยู่หลายร้าน มีอาหารเมนูอร่อยมากมายให้เราได้แวะชิม และมีร้านบริการของที่ระลึกในรูปแบบ ต่าง ๆ มากมาย นอกจากนั้นยังมีของดีเมืองนครนายก ให้เราได้เลือกชมและซื้อหากลับบ้านไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย ด้านหน้าทางเข้าทางอุทยานทำเป็นที่จอดรถ เป็นลานกว้างสามารถจอดรถได้อย่างสะดวกสบาย มีเจ้าหน้าที่คอยบริการอย่างเต็มที่
บริเวณทางขึ้นน้ำตกสาริกามีศาลของเจ้าพ่อปลัดจ่างที่ศักดิ์สิทธิ์ ด้านในประดิษฐานองค์เจ้าพ่อปลัดจ่าง ที่แกะสลักจากไม้คูณอายุกว่า 50 ปี ชาวนครนายกและ คนทั่วไปให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ศาลเจ้าพ่อปลัดจ่างแห่งนี้ถือว่าทรงอานุภาพมากที่สุดในพื้นป่าเขาใหญ่ทั้ง หมดและเป็นองค์ประมุขขององค์เจ้าพ่อทั้งหมดใน อาณาจักรพื้นป่าเขาใหญ่อีกด้วย มาเที่ยวน้ำตกที่สวยงามแล้ว  ยังได้สักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธ์ในพื้นป่าเขาใหญ่เพื่อพอพรให้กับตนเองและครอบครัวได้อีกด้วย

 

วนอุทยานน้ำตกบัวตอง – น้ำพุเจ็ดสี

 วนอุทยานน้ำตกบัวตอง – น้ำพุเจ็ดสี


 
       
      วนอุทยานน้ำตกบัวตอง – น้ำพุเจ็ดสี ตั้งอยู่ในเขตท้องที่ตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการจัดตั้งเป็นวนอุทยานเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2537 มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 15 ตารางกิโลเมตร หรือ 9,375 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหุบเขา ภูเขา และลำห้วย มีทัศนียภาพเป็นป่าเขาและน้ำตกที่สวยงาม จึงได้รับการสงวนไว้และจัดตั้งเป็นวนอุทยาน เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อน หย่อนใจ แก่ประชาชนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวทั่วไป
     วนอุทยาน น้ำตกบัวตอง – น้ำพุเจ็ดสี มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 โซนใหญ่ ๆ ด้วยกัน ซึ่งทริปนี้หมูหิน.คอมจะพาเพื่อน ๆ ตะลุยทั่ววนอุทยานให้ชื่นฉ่ำใจไปเลย พอขับรถเข้ามาภายในวนอุทยานก็จะพบกับลานจอดรถที่กว้างขวาง และร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปบังแสงแดดให้นักท่อง เที่ยวได้รับแต่ความร่มรื่น บวกกับสายลมแผ่ว ๆ ที่พัดมาเป็นระลอก ๆ บรรยากาศดีสุด ๆ คิดไปคิดมาหากได้เสื่อ 1 ผืนและหมอนสักใบแล้วละก็ รับรองหลับ !!!
หลังจากที่จอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เดินมายังลานเอนกประสงค์ เป็นลานหญ้ากว้าง ๆ มีไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวเลือกปูเสื่อนั่งกันอย่างสบายใจ มีร้านค้า ร้านกาแฟ และจุดบริการนักท่องเที่ยว หากใครต้องการสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ภายในวนอุทยาน หรือ หากต้องการค้างคืนที่วนอุทยานก็สามารถติดต่อประสานงานได้ที่จุดบริการนัก ท่องเที่ยว ณ บริเวณที่ทำการวนอุทยาน หากใครที่ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์สำหรับค้างคืน ไม่ว่าจะเป็นเต้นท์ ผ้าห่ม หมอน ทางวนอุทยานก็มีไว้คอยบริการอย่างครบครัน เรียกได้ว่าหากพักผ่อนยังไม่จุใจ จะขอนอนค้างคืนต่อก็ไม่มีใครว่า เพียงแค่ติดต่อสอบถามข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ รับรองว่าทางวนอุทยานจะเนรมิตวันสบายๆ ของเพื่อน ๆ ให้เป็นวันที่พิเศษสุด ๆ
หลัง จากที่จับจองที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวตะลุยกันให้ทั่ววนอุทยานไปเลย เริ่มตั้งแต่จุดแรก ซึ่งเป็นจุดที่แปลกไม่ซ้ำใคร นั่นก็คือ “น้ำพุเจ็ดสี” เป็นน้ำพุธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติอย่างแท้จริงไม่ อิงนิยาย ที่สำคัญเป็น “น้ำพุเย็น” มีเจ็ดสี ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากที่ทำการวนอุทยานประมาณ 400 เมตร ตัวน้ำพุมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เมตร ลึกประมาณ 2 เมตร ความพิเศษอยู่ที่อุณหภูมิของน้ำพุ ซึ่งต่างจากที่อื่น ๆ นั่นก็คือ อุณหภูมิของน้ำจะเย็นในระดับอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนเหมือนน้ำพุทั่วไป ( อันนี้การันตีได้จากเจ้าปลาตัวน้อย ๆ ที่แหวกว่ายไปมาในบริเวณน้ำพุ ) น้ำพุเจ็ดสีแห่งนี้เกิดจากการที่สารละลายแคลเซียมคาร์บอเนตผสมอยู่ ซึ่งสารละลายตัวนี้จะทำปฏิกิริยากับน้ำที่ผุดขึ้นมาให้เป็นน้ำที่มีความใส เป็นประกาย เมื่อเวลาที่มีแสงส่องลงมากระทบกับน้ำในบ่อ จะทำให้เห็นน้ำเป็นสีรุ้ง ซึ่งก็คือ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง นั่นเอง แหม! ความรู้อันนี้เกือบจะคืนคุณครูไปแล้วนะเนี่ยะ
เค้า ว่ากันว่าหากใครมาเที่ยวที่น้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสีแล้ว เมื่อมาถึงยังน้ำพุเจ็ดสีแล้วก็จะต้องตักน้ำในบ่อมาล้างหน้า ล้างตา เพื่อความเป็นสิริมงคล เพราะเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำของเทวดาที่เนรมิตขึ้นสำหรับผู้ที่มีบุญ สาเหตุที่มีการกล่าวขานแบบนี้ก็เพราะว่า ในสมัยก่อนมีตำนานกล่าวกันว่ามีเมืองหนึ่งเมืองได้ทำศึกสงคราม รบราฆ่าฟันกัน เพื่อแย่งความเป็นใหญ่ในล้านนา ทำให้เจ้าเมือง มเหสี และทหารเสียเลือดเสียเนื้อกันไม่ใช้น้อย เหลือเพียงพระธิดาอยู่สององค์ คือ พระธิดาบัวแก้ว และพระธิดาบัวตอง ซึ่งขุนผาดำคนสนิทของเจ้าเมือง ได้พาพระธิดาทั้งสองหนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือถ้ำบัวตองในปัจจุบัน ต่อมาก็ได้จัดทำสวนดอกไม้ให้กับพระธิดาทั้งสอง ซึ่งก็คือบริเวณลานจอดรถ ของวนอุทยานในปัจจุบัน แต่เนื่องด้วยบริเวณนั้นไม่มีน้ำเลย พระธิดาทั้งสองก็เลยอธิฐานขอให้มีแหล่งน้ำไว้ใช้ดื่มกิน เทวดาจึงให้พระแม่ธรณีดำแทรกแผ่นดินเป็นธารน้ำใต้ดิน ซึ่งต้องอาศัยภูเขามากถึง 5 – 6 ลูก กลายเป็น “น้ำพุ” ขนาดใหญ่พุ่งแรงผุดขึ้นมา เทวดาจึงได้ให้กุมภัณฑ์เป็นผู้ดูแลน้ำพุไม่ให้ใครเข้าใกล้เพราะกลัวว่าน้ำ ขุ่นมัว ชาวบ้านจึงเรียกน้ำพุแห่นี้ว่า “หนองผีอ้าย หรือหนองผีดุ” นั่นเอง ใครที่เป็นคนคิดไม่ดี ไม่ซื่อ จะไม่มีโอกาสเข้าใกล้น้ำพุแห่งนี้ได้

อุทยานแห่งชาติไทรโยค

อุทยานแห่งชาติไทรโยค

 
      
              
         อุทยานแห่งชาติไทรโยค มีพื้นที่ครอบคลุมในท้องที่อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี   มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานตั้งแต่ครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพรจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสน้ำตกไทรโยค และได้ลงสรงน้ำในธารน้ำอันเย็นฉ่ำภายใต้ร่มเงาแห่งแมกไม้ของป่าใหญ่ จากนั้นน้ำตกไทรโยคจึงเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและผู้คนโดยทั่วไป ดั่งเพลง    “เขมรไทรโยค” เป็นเพลงไทยอมตะ    บรรยายถึงความซาบซึ้งในธรรมชาติ   และความงามของน้ำตกไทรโยค     ยังความประทับใจแก่ชาวไทยมาตราบเท่าทุกวันนี้ อุทยานแห่งชาติโทรโยค มีเนื้อที่ประมาณ   500    ตารางกิโลเมตรหรือ 312,500 ไร่

ประวัติความเป็นมา
  เดิมพื้นที่ป่าบริเวณป่าวังใหญ่ แม่น้ำน้อย ได้ประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฏกระทรวง ฉบับที่ 417 (พ.ศ. 2512) และป่าห้วยเขยง ได้ประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฏกระทรวง ฉบับที่ 480  (พ.ศ. 2515) ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2519   ส่วนอุทยานแห่งชาติได้รับแจ้งจากหัวหน้าสวนสักไทรโยค (นายสมจิตต์ วงศ์วัฒนา)    ว่าบริเวณป่าน้ำตกไทรโยคมีสภาพป่าและสภาพธรรมชาติสวยงามมาก     เหมาะสมจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ    กองอุทยานแห่งชาติจึงมีหนังสือที่ กส.0808/3203  ลงวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2519 เสนอกรมป่าไม้ให้ นายสมบูรณ์ วงศ์ภักดี นักวิชาการป่าไม้ 4    ไปทำการสำรวจหาข้อมูลเบื้องต้นบริเวณป่าวังใหญ่     ป่าแม่น้ำน้อยและป่าห้วยเขยง จังหวัดกาญจนบุรี ปรากฏว่าบริเวณดังกล่าว มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติสวยงามที่สำคัญหลายแห่ง เช่น น้ำตกไทรโยค ถ้ำต่าง ๆ และสถานที่ทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง   กล่าวคือ  
          ในพ.ศ. 2482 - 2484  สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้เกณฑ์ทหารเชลยศึกทำการก่อสร้างทางรถไฟเพื่อที่จะเป็นเส้นทางต่อเข้าไปยังประเทศพม่า    ส่วนหนึ่งของเส้นทางผ่านเข้ามาในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ       เลียบลำน้ำแควน้อยไปจนจรดด่านเจดีย์สามองค์ ที่อำเภอสังขละ-บุรี       บริเวณต้นน้ำตกไทรโยคยังเป็นแหล่งหุงหาอาหารและที่พักพิงหลบภัย      ดังปรากฏเตาหุงข้าวของทหารญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน   เหมาะสมที่จะตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามบันทึกรายงานการสำรวจ ลงวันที่  3   พฤษภาคม พ.ศ.2520   กองอุทยานแห่งชาติจึงได้ดำเนินการจัดตั้งพื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ     และเพื่อสนองนโยบายคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ วันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2522 ในการที่จะเสริมมาตรการอนุรักษ์ธรรมชาติ     โดยจัดให้มีอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพิ่มขึ้น     ซึ่งกองอุทยานแห่งชาติ    กรม-ป่าไม้ได้มีคำสั่งที่ 2294/2522 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน  พ.ศ.2522    ให้นายพิภพ ละเอียดอ่อน
นักวิชาการป่าไม้ 5 และนายภูมิ สมวัฒนศักดิ์ ช่างโยธา 3    ไปทำการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติไทรโยค ซึ่งได้มีหนังสือที่ กส. 0708/9 ลงวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2522   รายงานผลการสำรวจเพิ่มเติมว่าพื้นที่ดังกล่าวมีจุดเด่นและสถานที่ท่องเที่ยว สวยงามเหมาะสมเป็นอุทยานแห่งชาติ
         กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้จึง   ได้เสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 1/2523 เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ.2523  เห็นสมควรให้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าวังใหญ่   ป่าแม่น้ำน้อย  และป่าห้วยเขยง   ในท้องที่ตำบลลิ้นถิ่น   อำเภอทองผาภูมิ   และตำบลไทรโยค ตำบลวังกระแจะ   ตำบลบ้องตี้ ตำบลลุ่มสุ่ม  อำเภอไทรโยค    จังหวัดกาญจนบุรี  ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2523 ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 97 ตอนที่ 165   ลงวันที่   27    ตุลาคม  พ.ศ.2523    นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 18 ของประเทศไทย และเป็นอุทยานแห่งชาติทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่ง
 
  

"น้ำตกแสงจันทร์" (น้ำตกลงรู)




      "น้ำตกแสงจันทร์" (น้ำตกลงรู)

 
 
• น้ำตกแสงจันทร์ น้ำตกลงรูหนึ่งเดียวในเมืองไทย
• ที่ตั้ง บ้านทุ่งนาเมือง ตำบลนาโพธิ์กลาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
• น้ำตกแสงจันทร์ มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า "น้ำตกลงรู " ซึ่งเรียกตามลักษณะของสายน้ำที่ตกผ่านลงรูหิน ส่วนที่มาของชื่อน้ำตกแสงจันทร์นั้น เรียกตามสายธารน้ำตก ที่โปรยละอองผ่านช่องหินลงมาเป็นสีขาวนวลคล้ายแสงจันทร์โดยเฉพาะในวันเพ็ญ ที่แสงจันทร์จะสาดส่องมาตรงรูหินพอดี พร้อมกับละอองของธารน้ำตกที่โปรย ดูเป็นประกายสีนวลสวยงามมาก ซึ่งทั้งหมดนี้คือที่มาของชื่อและเสน่ห์ของน้ำตกแห่งนี้ ที่ยังคงเก็บความงามสงบประสานอย่างกลมเกลือนของธรรมชาติไว้ให้เป็นที่ประทับ ใจ
• รูหิน เกิดจากการถูกน้ำกัดเซาะเนื่องจากหินทรายทนตอการถูกกัดกร่อนน้อย กำเนิดของน้ำตกแสงจันทร์จึงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ลงตัวของ " หินทรายและสายน้ำ "
• สาเหตุของการเกิดรูขนาดใหญ่ เกิดจากการกัดเซาะของสายน้ำ โดยเมื่อมีฝนตกลงมามากๆ น้ำในลำธารตามป่าเขาก็จะมีปริมาณมากพร้อมทั้งไหลแรงและเร็วพร้อมกันนี้กระแส น้ำก็ได้พัดพาเอาก้อนกรวด ก้อนหิน ไหลติดไปด้วยซึ่งก็จะมี ก้อนกรวดก้อนหินส่วนหนึ่งไหลเข้าไปติดในหลุม เมื่อกรวดหินไปติดในหลุมผนวกกับกระแสน้ำที่ไหลแรง ก้อนกรวดก้อนหินเหล่านั้นก็วิ่งวนอยู่ในหลุม ทำให้หลุมที่เป็นหินทรายซึ่งมีความแกร่งน้อยกว่ากรวดหิน ขยายตัวเป็นหลุมกว้างขึ้นเรื่อยๆ นานวันเข้าหลุมก็ทะลุกลายเป็นรูกระแสน้ำที่ไหลลงหลุมก็เปลี่ยนมาไหลลง กลายเป็น "น้ำตกลงรู" ในที่สุด
 
 • น้ำตกแสงจันทร์ มีชื่อเป็นทางการว่า น้ำตกแสงจันทร์ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี น้ำตกแสงจันทร์เป็นน้ำตกที่มีลักษณะพิเศษคือสายน้ำตกจะไหลตกลงมาผ่านหน้าผาที่เป็นปล่องหินคล้ายรู ถ้ามองจากด้านล่างเวลาสายน้ำไหลผ่านรูสวยงาม 
• การเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยว น้ำตกลงรู
• จากอำเภอเมืองจังหวัดอุบลราชธานี เดินทางไปน้ำตกแสงจันทร์ หรือน้ำตกลงรู ระยะทางประมาณ 120 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เดินทางออกจากตัวเมือง ใช้เส้นทางหมายเลข 4005 ระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร จากนั้นใช้เส้นทางหลายเลข 2222 อีกระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปใช้เส้นทางหมายเลข 4008 ระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร ต่อด้วยเส้นทางหลายเลข 2134 และ 2279 ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร วิ่งเข้าสู่เส้นทางหมายเลข 2135 ระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร ต่อด้วยเส้นทางหมายเลย 3262 ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร เดินทางไปตามเส้นทางอีกประมาณ 15 กิโลเมตรก่อนจะเข้าสู่น้ำตกแสงจันทร์ หรือน้ำตกลงรูที่ต้องแยกขวาเข้าไปอีกเล็กน้อย



         

 

อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ



    

    อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ
 
 
    อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี สภาพ พื้นที่ทั่วไปเป็นที่ราบสูงเป็นเขาเตี้ยๆ มีแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขงไหลผ่านตามแนวเขตทางด้านทิศเหนือไปออกประเทศสาธารณรัฐประชาชนลาว บริเวณแก่งตะนะจะมีสายน้ำที่เชี่ยวและลึก อีกทั้งยังมีถ้ำใต้น้ำหลายแห่ง จึงทำให้มีปลาอาศัยอยู่ชุกชุม ตรงกลางมีโขดหินขนาดใหญ่เป็นเกาะกลาง มีเนื้อที่ประมาณ 80 ตารางกิโลเมตร หรือ 50,000 ไร่


 
แก่งตะนะ ลำน้ำมูลเมื่อไหลอ้อมดอนตะนะทั้งสองด้านแล้ว จะไหลลงมาทางแก่งตะนะ กลางแก่งตะนะมีโขดหินมหึมาเป็นเกาะกลางลำน้ำมูล จากทั้งสองที่เชี่ยวกรากจะกัดเซาะลงในแนวโขดหินสูงราว 1 เมตร บ้างก็ไหลซอกซอนไปตามร่องหินและลานหินริมฝั่งมูล ถ้าสังเกตเกาะกลางแก่งตะนะจะเห็นสิ่งก่อสร้างรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยฝรั่งเศสยังล่าอาณานิคมเพื่อใช้เป็นเครื่องชี้ร่องน้ำในการเดินเรือ บริเวณแก่งตะนะจะมีสายน้ำที่เชี่ยวและลึกทั้งยังมีถ้ำใต้น้ำอีกหลายแห่ง จึงทำให้ปลาบริเวณแก่งตะนะชุกชุม
    แก่งคันเหว่ ประกอบ ด้วยแนวหินยาวประมาณ 1 กิโลเมตร กว้างราว 300 เมตร และยังมีหาดทรายตามแก่งหิน ประกอบด้วยโขดหินใหญ่น้อย เกลี้ยงเกลา มีหลุมยุบและรอยแหว่งเว้าปรากฏอยู่ทั่วไป ในเดือนธันวาคมลำน้ำมูลจะเอ่อไหลตามแก่งหินอย่างเชี่ยวกรากทำให้เกิด ทัศนียภาพที่สวยงาม
  น้ำตกตาดโตน เป็นน้ำตกที่ตกจากชั้นหิน ที่มีแนวโค้งคล้ายจอภาพยนตร์ อยู่บริเวณห้วยตาดโตน
  น้ำตกและบึงห้วยหมาก อยู่บริเวณเหนือบ้านห้วยหมาก เป็นบึงใหญ่มีน้ำนิ่ง และไหลตกเป็นทางยาวลงมาบนชั้นหินที่ซ้อนเหลื่อมล้ำเป็นแนวทอดต่ำลงมา
  น้ำตกห้วยกว้าง อยู่ใกล้เขตสุขาภิบาลอำเภอโขงเจียม มีน้ำตกลงไปตามซอกหินเป็นชั้นลดหลั่นลงมา
  ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก
อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีบ้านพักบริการนักท่องเที่ยว และได้จัดสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยว
  การเดินทาง
รถยนต์ อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ อยู่ห่างจากจังหวัดอุบลราชธานี ประมาณ 90 กิโลเมตรและสามารถเดินทางมาได้ 2 เส้นทาง คือ แก่งตะนะฝั่งขวาไปทางอำเภอวารินชำราบทางหลวงหมายเลข 217 ผ่านอำเภอวารินชำราบถึงอำเภอพิบูลมังสาหาร แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2173 ไปสู่ช่องเม็กถึงหลักกิโลเมตรที่ 73 บ้านคำเขื่อนแก้ว เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2296 สุดทางจะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ แก่งตะนะ หรือแก่งตะนะฝั่งขวา ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร
แก่งตะนะฝั่งซ้าย เส้นทางเดียวกับเส้นทางแรก เมื่อถึงอำเภอพิบูลมังสาหารเลี้ยวซ้ายข้ามสะพานพิบูลมังสาหาร 200 ปี ไปตามเส้นทางโขงเจียม ก่อนถึงโขงเจียม 4 กิโลเมตร จะมีทางแยกเลี้ยวขวาเข้าไปยังแก่งตะนะฝั่งซ้ายได้ ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร 
 
 ลักษณะภูมิประเทศ
  สภาพพื้นที่ทั่วไปเป็นที่ราบ เป็นเขาเตี้ย ๆ มีแม่น้ำมูล แม่น้ำโขง ไหลผ่าน ความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 200 เมตร จากระดับน้ำทะเล ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ ยอดเขาบรรทัด สูงประมาณ 543 เมตร สภาพป่าทั่วไปเป็นป่าแพะหรือป่าแดง จะมีป่าดิบเฉพาะบริเวณริมห้วยใหญ่เท่านั้น สภาพพื้นที่ส่วนมากเป็นหินทรายและพื้นที่ศิลา ส่วนดินเป็นดินลูกรัง ดินบรบือ และดินตะกอน
  ลักษณะภูมิอากาศ
  ลักษณะภูมิอากาศจัดอยู่ในเขตลมมรสุม แต่เนื่องจากอยู่ใกล้แม่น้ำสำคัญสายใหญ่ 2 สาย คือ แม่น้ำมูล และแม่น้ำโขง อากาศจึงแตกต่างจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั่วไป คือ ฤดูร้อน อากาศจะไม่ร้อนจนเกินไป อยู่ในราว 25-29 องซาเซลเซียส ฤดูหนาว ไม่หนาวจัด ส่วนฤดูฝน ฝนตกค่อนข้างชุก ฤดูกาลท่องเที่ยวที่เหมาะสม สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ในฤดูฝนและฤดูหนาวจะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมแม่น้ำมูล แม่น้ำโขงและน้ำตกต่าง ๆ ส่วนในปลายฤดูหนาวและฤดูร้อน นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมแก่งต่างๆ
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
  สภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าแพะและป่าแดง มีไม้เต็ง รัง เหียง พลวง ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะแคระแกรน นอกจากนี้ยังพบป่าเป็นสภาพป่าดิบแล้งบ้างตามบริเวณลำห้วยใหญ่ ๆ และบนดอยตะนะ พรรณไม้ที่ขึ้นอยู่ ได้แก่ ไม้ประดู่ แดง หว้า สัก ยาง นอกนั้นมีทุ่งหญ้าอยู่บ้างเป็นหย่อม ๆ ไม้พื้นล่างมีพวกไม้ไผ่ และไม้เถาอื่น ๆ ขึ้นอยู่ทั่วไป
สัตว์ป่าที่พบเห็นประกอบไปด้วย หมูป่า เก้ง อีเห็น ชะมด ลิง ชะนี นกชนิดต่างๆ และปลาชนิดต่าง
  แหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม
ดอนตะนะ เป็นดอนดินที่เกิดขึ้นขวางแม่น้ำมูล และแบ่งแม่น้ำมูลออกเป็นสองสาย มีความกว้างประมาณ 450 เมตร ยาวประมาณ 700 เมตร ทางตอนเหนือของดอนตะนะมีหาดทรายเหมาะแก่การ พักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง บนดอนตะนะยังมีป่าอยู่ทั่วไป สภาพเป็นป่าดิบแล้ง มีไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นและมีป่าสักตามธรรมชาติ 

สถานที่ติดต่อ
  อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ตู้ ปณ. 6045 อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี 64220 โทรศัพท์ : 0 - 4544 2002
 

แก่งสะพือ จ.อุบลราชธานี




แก่งสะพือ จ.อุบลราชธานี

      
      แก่งสะพือ เป็นแก่งหินที่สวยงามในแม่น้ำมูล ตั้งอยู่ในตัวอำเภอพิบูลมังสาหาร ห่างจากตัวเมืองอุบลราชธานี คำว่า "สะพือ" เพี้ยนมาจากคำว่า "ซำฟืด" หรือ "ซำปึ้ด" ซึ่งเป็นภาษาส่วยแปลว่า งูใหญ่ หรืองูเหลือม เป็นแก่งที่มีหินน้อยใหญ่สลับซับซ้อน เมื่อกระแสน้ำไหลผ่านกระทบหิน เกิดเป็นฟองขาวมีเสียงดังตลอดเวลา ช่วงที่เหมาะสำหรับเที่ยวชมแก่งสะพือคือหน้าแล้ง ราวเดือนมกราคม-พฤษภาคม เพราะน้ำจะลดเห็นแก่งหินชัดเจนสวยงาม ส่วนหน้าฝนน้ำจะท่วมมองไม่เห็นแก่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เคยเสด็จพระราชดำเนินมาชมแก่งนี้ 2 ครั้ง
ริมฝั่งแม่น้ำมีศาลาพักร้อน และร้านขายสินค้าพื้นเมือง ในวันหยุดมีประชาชนมาเที่ยวพักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้แล้วในเดือนเมษายนของทุกปี ช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีการจัดงานประเพณีสงกรานต์แก่งสะพือ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและประเพณีอันดีงามด้วย

       แก่งสะพือ เป็นแก่งที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นแก่งที่อยู่ในแม่น้ำมูล ในเขตอำเภอพิบูลมังสาหาร ห่างจากตัวจังหวัดอุบลราชธานีประมาณ 45 กิโลเมตร  ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 217
       แก่งสะพือ เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า "ซำพืด" หรือ "ซำปื้ด" ซึ่งเป็นภาษาส่วยที่แปลว่า งูใหญ่ หรืองูเหลือม  แก่งสะพือ จะมีหินน้อยใหญ่สลับซับซ้อน กระแสน้ำไหลผ่านกระทบหิน แล้วเกิดเป็นฟองขาวมีเสียงดังตลอดเวลา ริมแก่งจะมีศาลาพักร้อนตั้งอยู่ สำหรับให้นักท่องเที่ยวนั่งชมทัศนียภาพของแก่ง

      ช่วง เดือนมกราคม-พฤษภาคม แก่งสะพือจะมีผู้นิยมไปเที่ยวกันมาก เพราะน้ำจะลดทำให้เห็นแก่งได้ชัดเจนและสวยงาม ส่วนในฤดูฝนน้ำจะท่วมแก่ง นอกจากนี้แล้วในเดือนเมษายนของทุกปี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เทศบาลตำบลพิบูลมังสาหาร ก็ได้กำหนดจัดงานประเพณีสงกรานต์แก่งสะพือขึ้น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ย  และสืบทอดประเพณีอันดีงามไว้ ซึ่งในงานนี้ก็มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมงานเป็นจำนวนมาก
      ตลาดเก่าพิบูล ตลาดเล็กๆ เชิงสะพานข้ามแม่น้ำมูล เลยขึ้นมาจากแก่งสะพือเล็กน้อย เป็นตลาดเก่าของอำเภอพิบูลมังสาหาร อาคารร้านค้า บ้านไม้แบบเก่าอยู่ริมถนน ขายสินค้า อาหาร ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์การเกษตร เครื่องมือประมง มีร้านขายซาลาเปารสชาติดีอยู่ริมสี่แยกเชิงสะพาน เหมาะแก่การเดินเที่ยวชมวิถีชีวิต ซื้ออาหาร ของฝากที่ขึ้นชื่อ คือ ซาลาเปาและหนังกบแห้ง


 

ปฏิทิน

เพลง ความพยายาม